สวัสดีครับท่านผู้อ่าน กลับมาพบกับช่างแม็ทธิวกันอีกครั้งนะครับ กับสารพันปัญหาเรื่องเบรก และช่วงล่าง เมื่อตอนที่แล้วเราได้พูดคุยกันไปเรื่องเบรกสั่นสู้เท้าไปแล้ว ซึ่งปัญหาอย่างหนึ่ง ก็มาจากเจ้าจานเบรกนั่นเองครับ ทั้งนี้ท่านผู้อ่านอาจสงสัยว่า แล้วถ้าจะเปลี่ยนใหม่ต้องเลือกอย่างไร ต้องใส่เหมือนเดิมหรือเปล่า แล้วมันมีกี่แบบให้เลือกบ้าง วันนี้ช่างแม็ทธิวมีคำตอบครับ
ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับจานเบรกกันก่อนว่ามีกี่ประเภทอะไรบ้างนะครับ
1. Solid Disc หรือ จานเบรกแบบตัน
Solid Disc หรือ จานเบรกแบบตัน สามารถพบเห็นได้ในรถยนต์นั่ง รุ่นเก่าทั่วไปที่มีระบบดิสก์เบรกหน้า และรถยนต์รุ่นใหม่ดิสก์เบรกล้อหลัง ซึ่งโดยส่วนมากมักพบเห็นในรถยนต์นั่งที่จัดอยู่ในประเภท City Car เนื่องจากว่าจานเบรก ในรูปแบบของ “จานตัน” นั้น จะไม่มีช่องระบายความร้อนตรงกลางจาน (สมชื่อมันเลยครับ จานตัน) แต่ด้วยความที่มันรับภาระไม่มาก จึงไม่จำเป็นต้องมีช่องระบายความร้อนตรงกลางจานครับ และท่านผู้ใช้รถอาจสงสัยว่า ต่อให้ภาระไม่มาก ก็มีความร้อนสะสมอยู่ดี !? ใช่ครับ ช่างแมทธิวบอกได้เลยว่า ต้องมีความร้อนสะสมอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า ความร้อนสะสมตรงนั้น จะเป็นตัวช่วยให้ผ้าเบรกจับตัวได้ดี และเร็วขึ้น โดยจานเบรกประเภทนี้จะเป็นจานแบบเนื้อเรียบ หรือหน้าสัมผัสแบบเรียบ (เนื่องจากการที่อุณหภูมิเย็นเกินไป ผ้าเบรกก็ไม่สามารถทำงานได้ดี)
2. Ventilated Disc Brake หรือจานเบรกแบบมีครีบระบายความร้อน
เจ้าจานเบรกแบบนี้ก็จะอยู่ที่ระบบห้ามล้อคู่หน้า (ซึ่งอาจมีอยู่ในล้อคู่หลังด้วย หากรถยนต์คันนั้นมีระบบขับเคลื่อนล้อหลัง เพราะต้องรับภาระหนักเหมือนกัน) เนื่องจากว่า เมื่อเกิดการเบรก น้ำหนักเกือบทั้งหมดของตัวรถ จะถูกส่งไปยังหน้ารถ ซึ่งเมื่อมีน้ำหนักกดทับมากขึ้น ระบบเบรกก็ต้องทำหน้าที่หนักขึ้น ซึ่งนั่นก็ทำให้ระบบที่ล้อคู่หน้า ย่อมต้องทำงานหนักไปโดยปริยาย และเมื่อระบบเบรกทำงานหนัก ก็จะยิ่งเกิดความร้อนสูง จึงต้องมีช่องว่างตรงจานเบรก ซึ่งมีลักษณะเหมือนเป็น เวน (Vane) หรือครีบกังหัน (ช่างแมทธิวไม่ได้ด่าใครนะครับ เอิ๊กๆ) ซึ่งเจ้าครีบตรงนี้ก็จะทำหน้าที่ ช่วยกวักอากาศเข้ามาทางดุมล้อ แล้วสลัดกระจายออกไป (ตามแรงเหวี่ยง) ซึ่งก็จะทำให้ช่วยระบายความร้อนได้ดียิ่งขึ้น และช่วยลดความร้อนสะสมได้อีกด้วย และเช่นเดียวกับจานตันครับ ผิวสัมผัสของจานเบรกชนิดนี้ ก็จะเป็นพื้นสัมผัสเรียบเหมือนกัน
3. Slotted Disc Brake หรือจานเบรกแบบเซาะร่อง
จานเบรกลักษณะนี้ จะเป็นจานเบรกโดยทั่วไปที่เป็นVentilated Disc Brake หรือจานที่มีร่องระบายความร้อน และมาทำการเซาะร่องหรือ Slotted ที่ผิวหน้าสัมผัส (Surface) บนจานเบรกอีกทีหนึ่ง ซึ่งการเซาะร่องนี้ จะมีประโยชน์ในเรื่องของการลดอุณหภูมิผิวหน้าสัมผัสของจานจานเบรก และผ้าเบรก >>เนื่องจากร่องที่อยู่บนจานเบรก จะทำหน้าที่เป็นเหมือนใบมีด (หูย !! ช่างแมทธิว่า ท่านผู้ใช้รถคงตกใจแน่ๆเลย งั้นเปลี่ยนคำ ^___^) ร่องบนจานเบรกจะทำหน้าที่เหมือนเป็นไม้กวาด ซึ่งจะคอยปัดกวาดเนื้อผ้าเบรกที่เสื่อมสภาพ (ผ้าที่ร้อนจนไหม้กลายเป็นเขม่าเบรก) แล้วสลัดออกไปเพื่อผลัดให้ผิวผ้าเบรกที่ยังไม่เสื่อมสภาพขึ้นมาแทน (เหมือนการผลัดเซลล์ผิว ด้วยวิธีการขัดผิวนั่นแหละครับ) เหตุที่ต้องมีการกวาดเนื้อผ้าเบรกส่วนที่ไหม้ออกไปก็เพราะ เนื้อผ้าเบรกส่วนนั้นได้เสื่อมสภาพไปแล้ว (เจ้าหมดประโยชน์แล้ว) เมื่อเนื้อผ้าเบรกเสื่อมสภาพจากความร้อน ก็จะทำให้เกิดก๊าซขึ้นมา (อ้างไปถึงในเรื่องของ เบรก Fade ที่ท่านผู้ใช้รถได้ติดตามอ่านมาเลยนะครับ) ซึ่งเจ้าก๊าซนี้ก็จะไปปกคลุมหน้าสัมผัสจานเบรกกับเนื้อผ้าเบรก (อย่างที่ช่างแมทธิวบอกว่า มันเป็นมือที่สาม) ซึ่งร่องบนจานเบรกก็สามารถที่จะขจัดปัญหานี้ไปได้ ทั้งกวาดหน้าผ้าเบรกที่เสื่อมสภาพออกไป และยังสามารถสลัดก๊าซที่ปกคลุมพื้นผิวไปได้อีกด้วย พร้อมช่วยระบายความร้อนที่ผิวจานด้านนอกได้เร็วขึ้น
4. Drilled Disc Brake Rotor หรือจานเบรกแบบเจาะรู
Drilled Disc Brake Rotor หรือจานเบรกแบบเจาะรู จานเบรกลักษณะนี้ก็เช่นเดียวกันกับจานเซาะร่องครับ คือนำจานที่เป็น Ventilated Rotor มาทำการเจาะรู บนจานเบรก โดยรูที่เจาะนี้ก็จะอยู่บนผิวหน้าสัมผัสของจานเบรก (ส่วนที่ต้องสัมผัสกับผ้าเบรก) โดยประโยชน์ของจานเบรกแบบเจาะรูนี้ จะให้คุณประโยชน์ (แหม่ พูดซะเป็นของ บริโภคเลย) จริงๆแล้วต้องเรียกว่า ให้ประสิทธิภาพได้คล้ายๆกับจานเบรกแบบเซาะร่อง หรือ Slotted Rotor แต่การเจาะรูลงไปบนจานเบรกจะมีส่วนที่เพิ่มเติมมาคือ สามารถระบายความร้อนของจานเบรกได้เร็วกว่า เนื่องจากว่า รูบนจานเบรกนั้น ก็จะเป็นช่องที่ให้อากาศสามารถไหลเวียนมาได้ดีกว่า ดังนั้นการนำพาความร้อนออกไปย่อมเร็วกว่าแน่นอน
ท่านผู้ใช้รถลองนึกภาพตามนะครับ ว่าสมมุติเรามีเหล็กตันๆ 1 แท่ง การจะระบายความร้อนให้เหล็กนั้นอุณหภูมิทั่วทั้งแท่ง ย่อมเป็นไปได้ช้า เพราะอากาศที่มีนำพาความร้อนสามารถสัมผัสได้แค่บริเวณพื้นผิวของแท่งเหล็กเท่านั้น ไม่สามารถทะลุทะลวงเข้าไปถึงข้างในแท่งเหล็ก จึงไม่สามารถนำพาความร้อนจากภายในออกมาได้หมด แต่การเจาะรูนั้น ก็มีข้อเสียอยู่บ้าง เนื่องจากลักษณะ Vent หรือช่องลมภายในจานเบรกนั้น จะมีช่องว่างระหว่างร่องระบายอากาศ ซึ่งหากเนื้อตรงส่วนนั้นถูกเจาะให้ทะลุ และหายไป ก็จะทำให้โครงสร้างของจานเบรกไม่แข็งแรงเหมือนเดิม และอาจส่งผลให้เกิดอาการ “จานคด จานดุ้ง” ได้ง่ายๆ เนื่องจากปัญหาของโครงสร้างไม่แข็งแรงเหมือนเดิมและนี่แหละครับ คือรูปแบบลักษณะของจานเบรกที่มีปรากฏให้เห็นได้ในรถทั่วๆไป รวมไปถึงรถยนต์แข่งขันด้วย
ข้อแนะนำ ไม่ควรดัดแปลงจานเบรกปกติมาทำการเจาะรูตามโรงกลึงทั่วๆไป เพราะจะมีปัญหาตามมา เช่นจานเบรกเสียสมดุลย์ ส่งผลวิ่งแล้วพวงมาลัยสั่น จานเบรกมีโอกาส ร้าวแตก คด โก่งงอ ไม่ปลอดภัยและอันตรายอย่างยิ่ง
เลือกจานเบรกแบบไหนดี
ทีนี้เรามาดูกันว่าเราจะเลือกจานเบรกอย่างไรดีจึงจะถูกต้อง และปลอดภัยกับการขับขี่
อันดับแรกควรดูเสป็กของจานเบรกให้ถูกต้องกับรุ่นที่ใช้ว่า เป็นจานชนิดไหน มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเท่าไหร่ มีรูสำหรับยึดติดกี่รู มีความหนาเท่าไหร่ ถ้าจะให้ดีควรเลือกแบบที่มีค่าความหนาต่ำสุดระบุไว้ด้วยครับ เพราะช่างจะได้ทราบว่าเมื่อไหร่ควรจะต้องเปลี่ยนจานเบรก
ต่อมาก็ต้องดูว่าจานนั้นๆ ได้รับการถ่วงสมดุลมาแล้วหรือไม่ เนื่องจากจานเบรกต้องมีการหมุนเมื่อทำงานหากจานไม่สมดุล ก็จะหมุนไม่ราบรื่นและมีการแกว่งตัวทำให้เกิดอาการเบรกสั่นได้ครับ
จานเบรก TRW ถ่วงสมดุลทุกใบ
สุดท้ายอาจจะลองพิจารณาว่านอกจากเสป็กปกติแล้ว มีจานเบรกแบบไหนที่จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้เราได้มากขึ้นบ้าง เช่น มีเนื้อเหล็กที่เหนียว และทนความร้อนได้ดีกว่าธรรมดา หรือ มีการเซาะร่องเจาะรูเพื่อช่วยระบายความร้อน เป็นต้นครับ แต่อย่าลืมว่า ระบบเบรกที่ติดรถของท่านมานั้นได้รับการออกแบบมาเพื่อความปลอดภัยสูงสุดของผู้ขับขี่และผ่านการทดสอบมาอย่างเต็มที่แล้วก่อนที่จะนำมาจำหน่าย การดัดแปลงหรือการปรับสเป็กในส่วนของระบบเช่นขยายจาน เปลี่ยนคาลิปเปอร์ อาจส่งผลต่อความปลอดภัยได้และควรปรึกษาช่างผู้ชำนาญเท่านั้นครับ
K.LOP AUTOMOTIVE PARTS อะไหล่รถยนต์-แอร์ รถญี่ปุ่น-ยุโรป ลูบริแคนท์สสำหรับเครื่องยนต์
E -mail: klopcoolstore@gmail.com
FACEBOOK: @klopyonstore
LINE@: @klopyonstore
LINE ธรรมดา: